วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Seville และระบำ Flamengo

เมืองที่ได้ไปชมถัดไปคือเมืองที่เขาเรียกกันว่าเซวีญ่า ได้ยินเขาออกเสียงว่าอย่างงี้แหละแต่เขียนชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Seville เมืองนี้เขาปลูกต้น Jakalanda กันทั้งเมืองเลย ไปถนนไหนๆก็เห็นมีแต่ไม้ยืนต้นดอกสีม่วงเต็มทุกถนน คล้ายๆภาคอีสานของเราที่มีแต่ต้นคูนเหลืองอ๋อยไปทั้งเมืองตอนหน้าร้อน ดูรูปเลยเหอะอย่าพูดมากดีกว่า







เมืองนี้มีโบสถ์สำคัญของคริสต์ที่เดิมทีเป็นของอิสลามอีกน่ะแหละ สร้างไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 แต่ต่อมาเมื่อศาสนาคริสต์มีอิทธิพลในสเปนสุเหร่าก็ถูกต่อเติมจนใหญ่โตมโหฬาร ทั้งกว้างใหญ่อลังการด้วยสถาปปัตยกรรมและศิลปกรรมอันวิจิตร ตอนไปดูนั่นไกด์ท้องถิ่นซึ่งเป็นไกด์ทางการของเขาบอกว่า Cathedral de Seville นี้เป็นโบสถ์คริสต์ที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบ Gothic ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ถ้าเทียบโบสถ์ใหญ่ของคริสต์แล้วละก้อโบสถ์นี้ใหญ่เป็นที่ 3 รองจาก St.Peter's ใน Rome และ St.Paul's ใน London แต่ยังไงไม่รู้นะไปเจอข้อมูลในเน็ตนี้ http://www.andalucia.com/cities/seville/cathedral.htm บอกว่าไม่ใช่ย่ะ โบสถ์นี้ถ้าคำนวณโดยกรรมวิธีสมัยใหม่แล้วใหญ่ที่สุดในโลก เอาเหอะ จะจริงเท็จประการใดดิฉันไม่เกี่ยว แต่ไปเที่ยวมาแล้วแหละ นี่ไงเก็บภาพความอลังการมาฝาก






ภายนอกกว้างใหญ่ ดูความเบ้อเร่อเฮิ่มของประตูเทียบกับคนธรรมดาที่เดินผ่านก็คงจะเห็นว่ามันขนาดไหน






ที่นี้ลองเข้าไปข้างใน เพื่อพบกับความอลังการงานสร้าง อุแม่เจ้าอะไรมันจะใหญ่โตมโหฬารปานนั้น





และที่สำคัญสูงค่าด้วยศิลปะอันหรูหราประมาณค่ามิได้ มีคนบอกว่าเห็นส่วนนี้ของโบสถ์คริสต์มามาก แต่ไม่งามเท่านี้ ที่นี่สวยหรู ดูพิเศษที่สุด








อันนี้เป็นเครื่องดนตรีประจำโบสถ์นะ ถ้าเข้าใจไม่ผิด ก็ไอ้หลอดๆด้านบนนี่แหละที่เปล่งเสียงดนตรีออกมา แต่ถ้าฟังผิดก็ตัวใครตัวมันนะจ๊ะ ภาษาอังกฤษน่ะดิฉันฟังออก แต่ไม่ค่อยคุ้นสำเนียงสเปนนี่นา



เมืองนี้นอกจากโบสถ์อันใหญ่โตแล้ว ยังเป็นแหล่งที่เขาว่ามีชายหนุ่มรูปหล่ออีกด้วย ก็อีตา Casanova จอมเจ้าชู้น่ะ แกเป็นคนที่นี่แหละ แต่ภาพชายฉกรรจ์ 4 คนนี้ไม่ใช่หนุ่มหล่อธรรมดานะ เป็นรูปปั้นของกษัตริย์ ที่เกี่ยวข้องกับความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของ Christopher Columbus ผู้ค้นพบหมู่เกาะ West Indies หมอนี่เดินทางไปพบโลกใหม่แล้วเข้าใจว่าเป็นอินเดีย เดินทางไปๆมาๆอยู่ตั้ง 4 ครั้งก็ยังไม่รู้ตัว จนตายไปแล้วผู้คนถึงรู้ว่าแกค้นพบดินแดนใหม่ต่างหาก อย่างไรก็ตามแกก็เป็นคนสำคัญนำพาประเทศไปสู่ความมั่งคั่งละนะ ดังนั้นพอแกตาย หลุมศพเลยทำพิเศษเป็นภาพกษัตริย์แบกโลงให้เลย ทั้งๆที่ความจริงคงไม่ถึงขั้นนี้ แต่เนื่องจากความดังของแกเป็นเหตุ ทำให้มีผู้แอบอ้างว่าหลุมศพที่แท้จริงอยู่อีกที่หนึ่ง ก็ไม่รู้อันไหนจริงอันไหนโม้ หรือโม้ทั้งคู่ก็ไม่ทราบได้ แต่ที่แน่ๆทีนี่มีรูปปั้นสุดพิเศษพิศดารนี่แหละ กษัตริย์ทั้งสี่ไม่ได้ครองราชพร้อมกันนะ แต่เขาปั้นออกมาแบบนี้เพื่อให้เกียรติแก่ผู้นอนในหลุม อ้อไกด์เขาออกเสียงชื่อว่าโคลุมบุสนะ ไม่ใช่โคลัมบัสอย่างที่เราคุ้นเคย






วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Cordoba เมืองที่ศาสนากลืนกินกันเป็นทอดๆ

ถ้าทิ้งไว้นานกว่านี้คงไม่ได้คุยอีกยาวไกลเลย เพราะงานยุ่งจนโงหัวจะไม่ขึ้นแล้ว แถมพักผ่อนไม่เพียงพอ หมอสั่งให้เลิกนอนดึกด้วย ดูซิทิ้งไปเป็นเดือน กว่าจะมาเขียนใหม่ เอาละเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา มาชมภาพกันเลย




เมือง Cordoba เป็นอีกเมืองที่เก่าแก่ เจริญรุ่งเรืองมาช้านาน สถานที่สำคัญที่ไปเยี่ยมชมคือ The Cathedral of Cordoba ที่นี่มีประวัติว่าเดิมเคยเป็นของคริสต์ เขาอ้างหลักฐานทางมนุษยวิทยานะ แต่ของอย่างนี้ดิฉันไม่เชี่ยวชาญค่ะ ก็แค่รับฟังไว้ เขาว่าชื่อ Basilica of San Vincente ต่อมาถูกอิสลามทำลาย และสร้างสุเหร่าหรือโบสถ์ของอิสลามขึ้น




พวกนี้เป็นตอนที่ศาสนาอิสลามเจริญรุ่งเรืองอยู่แถวนี้ จนภายหลังศาสนาคริสต์แผ่อิทธิพลกลับมาครอบคลุมพื้นที่ โบสถ์เก่าของอิสลามก็โดนยึดมาเป็นของคริสต์และทำการขยายต่อเติม ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปเป็นโบสถ์คริสต์ บางส่วนถูกทำลายทิ้ง แต่ส่วนที่ยังอยู่ยั้งยืนยงมาจนทุกวันนี้ก็มี เพราะมันสวยงามล้ำค่าด้วยศิลปะ และด้วยวัสดุที่ทำมันสูงค่าคือทองคำ ฝีมือก็ล้ำเลิศเกินกว่าเขาจะทำลายลง เลยเก็บไว้เป็นหลักฐานให้เห็นกันจะๆเลยว่าโบสถ์คริสต์กลืนสุเหร่าอิสลาม










นี่ส่วนต่อเติมของคริสต์ ดูศิลปะไปคนละเรื่องกับของเดิมเลย มีการทำศิลปะปูนปั้น มีภาพเขียนรูปคนและมีการหล่อรูปต่างๆเป็นศิลปะล้ำค่าที่หาชมยาก สวยงามอลังการ









และทีจะขาดเสียมิได้ นี่เลยบุคคลสำคัญในศาสนาคริสต์ และเครื่องเคราประกอบการทำพิธีทางศาสนา









ส่วนนี่รวมของเก่ากับใหม่ได้ลงตัว เป็นโบสถ์ที่นักท่องเที่ยวไปชมกันเนืองแน่นทั้งวัน โบรชัวร์ที่ทำแจกมีหลายภาษาด้วยนะ อำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวจริงๆ เสียแต่ไม่มีภาษาไทย ไม่รู้หลุดประเทศมหาอำนาจแบบนี้ไปได้ไง จริงไหมคะท่านผู้อ่าน



วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2551

Alhambra มรดกโลก

อาจจะมีคนสงสัยว่าทำไมใจเย็นนั่งเขียนเล่นอยู่ได้ขณะที่การเมืองไทยร้อนระอุ ก็อยากจะแสดงตัวออกมาเหมือนกันแหละ แต่ถ้าเข้าข้างใดข้างหนึ่งขึ้นมาอย่างเป็นทางการ ผลกระทบที่จะตามมาเรื่องการงานล่ะ คนเรายังต้องพบหน้าทำงานอยู่ด้วยกันอีกหลายปี อย่าให้เรื่องใดมาบ่อนทำลายความเป็นครอบครัวใหญ่ในวงงานดีกว่า ก้มหน้าก้มตาเล่าเรื่องเมืองสเปนไปเหอะ เอาน่าแม้ใจจะห่วงหวงเขาพระวิหารเพียงใด ทำได้แค่เล่าเรื่องมรดกโลกที่ต่างชาติเขาทำกันไปพลางๆละกันนะ ดูรูปไปตามปรกติละกันค่ะ




นี่เป็นภาพแรกที่ถ่ายตอนไปเข้าแถวรอเข้าชม จะเห็นสวนสวยจัดเป็นรูปกำแพงเขียวขจี นี่ต้นสนแท้ๆเลยนะเขาตัดแต่งเป็นรูปนี้จริงๆ ไม่ใช่พลาสติดรูปสัตว์อย่างในกรุงเทพบางแห่ง



ที่นี่เป็นพระราชวังเก่าของแขกมัวร์สมัยที่เขาเคยเป็นใหญ่ละแวกนี้ มีศิลปและสถาปัตยกรรมที่สวยงามแบบอิสลามอยู่เต็ม เพราะเขานับถือศาสนานี้ จะเห็นการสลักรูปลายเครือเถา และคำสรรเสริญพระเจ้าเต็มไปทั้งวัง และมีน้ำพุแบบแขกๆกับทางที่ทำให้น้ำไหลผ่านเพื่อความเย็นฉ่ำและเสียงน้ำไหลให้ความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติ



ที่นี่เก่าแก่ก็จริง แต่เขาบูรณะตลอดจนมันดูสวยสง่าน่ามาเยี่ยมชมเสมอ








นอกจากสิ่งก่อสร้างสวยๆ เขายังมีสวนที่จัดแต่งแบบต่างๆ เรียกว่าเป็นอุทยานสถาปนิกเลยทีเดียว











โชคดีที่แผ่นดินตรงนี้สเปนไม่ได้อ้างสิทธิ์ทับซ้อนกับใคร ได้เป็นมรดกโลกก็เป็นของสเปนล้วนๆ ผลประโยชน์ที่ได้ไม่มีเรื่องน่าปวดหัวตามมาแบบประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วิญญาณบรรพบุรุษที่สร้างสรรค์ผลงานไว้ก็คงไม่ต้องร้อง ไอ้ลูกหลานจัญไรด่าใครอย่างแถวบ้านเรา Ooops! ว่าจะไม่แล้วเชียว คิดดังไปหน่อย ขออภัย

วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2551

Toledo เมืองแห่งสามวัฒนธรรม


เมืองแรกที่ไปใช้เวลา 3 วันในสเปนคือMadrid หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการดูงานก็เผ่นไป Toledo เรื่องดูงานไม่เล่าละนะ ก็บอกแล้วว่าจะพาเที่ยว เรื่องงานจะพูดทำไม เนาะ


เมืองนี้เก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัยแขกมัวร์ครองพื้นที่แถวนี้ ศิลปะและสถาปัตยกรรมเลยได้อิทธิพลมาทั้งแบบแขกมัวร์ ยิวและมาได้คริสเตียนเพิ่มเติมทีหลังด้วย เรียกว่าเมือง 3 วัฒนธรรมเลยทีเดียว ตอนไปถึงทีแรกแค่ผ่านให้ดูลาดเลาก่อน เลยไปกินข้าวกลางวันนอกเมืองแล้วค่อยเข้าเมืองไปชมความสวยงามอลังการกันหลังจากอิ่มอร่อยแล้ว





ตอนเข้าชมเมืองก็ลงรถแล้วเดินตลอด ก็ถนนในเมืองมันเล็ก รถทัวร์เบ้อเริ่มเทิ่มเข้าไปวิ่งไม่ได้หรอก ที่เห็นรถวิ่งผ่านได้น่ะ ได้แค่นี้แหละ แล้วก็จอดเลย ถนนโบราณเขาก็สร้างไว้ให้ม้ากับรถม้าวิ่ง ไหนเลยรถทัวร์จะเข้าไปวิ่งสวนกันได้ ไกด์เขาบอกว่า ประเทศสเปนมีพลเมืองทั้งหมด 44 ล้านคนนะ แต่มีคนมาเที่ยวเมืองนี้เมืองเดียวปีละ 50 ล้านคนแห่กันมาจากทั่วโลก ก็เมืองมันน่าสนใจจริงๆนะ แถมเป็นเมืองมรดกโลกอีกต่างหาก ดูภาพไปละกัน เนี่ยมีเมือง มีโบสถ์ใหญ่โตแบบนี้อ่ะ








นี่สะพานข้ามคูเมืองเหมือนในหนังยุคอัศวินเลย ก็มันสร้างตั้งแต่สมัยนั้นจริงๆเลยแล้วเขาก็ดูแลรักษาบูรณะซ่อมแซมกันมาเป็นอย่างดี เลยอยู่มาถึงให้คนรุ่นหลังอย่างเราได้ไปชมของจริงกัน



ถ้ายังไม่สะใจตามไปชมต่อได้ที่ http://www.red2000.com/spain/toledo/sight.html#t-cat อย่าลืมคลิกดูรูปตรงที่มีไอคอนรูปกล้องนะจ๊ะ